top of page

Bollon dor football player

R6.jpg

Ronaldo Nazario R9  

2005

โรนัลดู ลูอีส นาซารีอู จี ลีมา (โปรตุเกส: Ronaldo Luíz Nazário de Lima; เกิดวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2519) เป็นนักฟุตบอลชาวบราซิลที่เป็นที่รู้จักในฉายา O Fenômeno (ปรากฏการณ์) และชื่อเล่น R9 ปัจจุบันเลิกอาชีพค้าแข้งแล้ว ในปี ค.ศ. 1993 โรนัลโดเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรกรูเซย์รู ในฤดูกาลแรกนั้น เขาทำได้ถึง 12 ประตูใน 14 เกม โดยโรนัลโดมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นก็ถูกแมวมองจากสโมสรยักษ์ใหญ่ แปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟินจากเนเธอร์แลนด์ดึงไปร่วมเล่น นอกจากนี้ โรนัลโดก็ยังได้ร่วมทางกับสโมสรใหญ่ในยุโรปมากมาย อาทิ บาร์เซโลนา อินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน (อินเตอร์มิลาน) เรอัลมาดริด และเอซีมิลาน

ในส่วนของทีมชาตินั้น โรนัลโดลงเล่นให้กับทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ 97 นัด และทำประตูได้ถึง 62 ประตู โดยเป็นรองเพียงเปเล่และโรมารีอูเท่านั้น และยังเป็นเจ้าของสติถิ 15 ประตู ผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของโลกในฟุตบอลโลกอีกด้วย เขาพาทีมชาติบราซิลได้แชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัยในปี ค.ศ. 1994 และ ค.ศ. 2002 แต่ต่อมาก็ถูกแย่งสถิติโดยมีโรสลัฟ โคลเซอในฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2014

ฉายาของโรนัลโดคือ O Fenômeno ("The Phenomenon" ในภาษาอังกฤษ) โรนัลโดเป็นหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากมาย อาทิ รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป 2 สมัย ในปี ค.ศ. 1997 และ ค.ศ. 2002 รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลกโดยฟีฟ่า 3 สมัย ซึ่งมีเพียงโรนัลโดและซีเนดีน ซีดานเท่านั้นที่เคยทำได้ ในปี ค.ศ. 2007 เขาถูกจัดให้เป็นหนึ่งในนักฟุตบอล 100 คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลโดยนิตยสารฟุตบอลฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลยอดเยี่ยมที่สุดของโลกที่ยังมีชีวิตอยู่โดยเปเล่

Z1.jpg

Zinedine Zidane

2005

อดีตนักฟุตบอลอาชีพและผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส

ซีดานเกิดที่เมืองมาร์แซย์ ประเทศฝรั่งเศส ในครอบครัวชาวแอลจีเรียอพยพ มีชื่อเต็มว่า ซีเนดีน ยาซีด ซีดาน (Zinedine Yazid Zidane) มีชื่อเล่นว่า "ซีซู" (Zizou) เริ่มเป็นนักฟุตบอลอาชีพขณะอายุ 17 ปี กับกาน ของฝรั่งเศส จากนั้นก็มาประสบความสำเร็จกับบอร์โด ในลีกเอิง ได้รับการคัดเลือกให้เป็นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป ได้เข้าร่วมฟุตบอลโลกครั้งแรก โดยเป็นผู้เล่นคนหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของทีมชาติฝรั่งเศสในฟุตบอลโลก 1998 ซึ่งช่วยให้ฝรั่งเศสได้เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นสมัยแรก เมื่อเป็นผู้โหม่งทำประตูให้กับฝรั่งเศสนำบราซิล คู่ชิงในรอบชิงชนะเลิศถึง 2 ประตู และยังช่วยให้ฝรั่งเศสได้แชมป์ยูโร 2000 ในอีก 2 ปีต่อมา ซึ่งถือได้ว่าฝรั่งเศสนับเป็นชาติแรกที่ได้ทั้งแชมป์โลกและแชมป์ยูโรติดต่อกัน

อาจถือได้ว่าซีดานเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดของโลก ครบเครื่องทุกอย่างในผู้เล่นคนเดียว ทั้งการผ่านบอลแม่นยำ เติมเกมรุก กำหนดจังหวะเกม เป็นศูนย์กลางผสมผสานของทีมได้ลงตัว ซีดานประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพหลังจากเหตุการณ์ที่ใช้เอาศีรษะโขกหน้าอกมาร์โก มาเตรัซซี นักฟุตบอลกองหลังของอิตาลี ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 นัดชิงชนะเลิศ ซึ่งนั่นทำให้ซีดานต้องถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม นับเป็นการปิดฉากชีวิตการเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างไม่สวยงามนัก 

Ri_edited.jpg

Rivaldo

2005

เกิดวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1972 ที่ประเทศบราซิล เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวบราซิล รีวัลดูเป็นส่วนสำคัญของบราซิลชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 เขายังได้รับตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปในปี 1999 และได้ชื่อว่าเป็นผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุกที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลคนหนึ่ง รีวัลดูยังมีชื่อเสียงจากลูกเตะจักรยานอากาศ (bicycle shoot) มีฉายาที่เรียกโดยแฟนฟุตบอลชาวไทยว่า "นิเชา

รีวัลดูเริ่มเล่นฟุตบอลเมื่ออายุ 16 ปีกับสโมสรฟุตบอลซังตากรุสในบราซิล เมื่อ ค.ศ. 1989 หลังจากนั้นสองปีเขาได้ย้ายไปเล่นให้กับสโมสรโมชีมีริงในลีกสองของบราซิล รีวัลดูเริ่มมีชื่อเสียงเมื่อย้ายไปร่วมทีมสโมสรฟุตบอลคอรินเทียนส์ เมื่อ ค.ศ. 1993 และติดทีมชาติบราซิลเป็นครั้งแรกในปีเดียวกัน ปีถัดมาเขาย้ายไปร่วมทีมสโมสรฟุตบอลปัลเมย์รัส

ค.ศ. 1996 รีวัลดูย้ายมาค้าแข้งในทวีปยุโรป โดยเซ็นสัญญาหนึ่งปีกับลาโกรุญญาในประเทศสเปน ก่อนที่จะย้ายมาร่วมสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาด้วยค่าตัว 16.5 ล้านยูโร ช่วงนี้รีวัลดูประสบความสำเร็จกับทีมชาติบราซิลในการคว้าแชมป์โกปาอาเมริกา 1997 และเข้าแข่งขันฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส รีวัลดูนำบาร์เซโลนาคว้าแชมป์ลาลิกาในปี 1998 และ 1999 ซึ่งในปีนี้ เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าและนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป

ค.ศ. 2002 รีวัลดูย้ายมายังสโมสรฟุตบอลเอซีมิลานในกัลโชเซเรียอาของประเทศอิตาลี ในฤดูกาล 2002-03 เขาได้แชมป์อิตาเลียนคัพและยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกร่วมกับเอซีมิลาน แต่หลังจากนั้นเขาประสบปัญหาฟอร์มตก และย้ายจากมิลานไปเล่นให้สโมสรฟุตบอลกรูเซย์รูในบราซิลเป็นระยะเวลาสั้น ๆ จากนั้นย้ายไปทีมต่าง ๆ ในประเทศกรีซ จนกระทั่งมาอยู่กับสโมสรฟุตบอลบูนิออดกอร์ในประเทศอุซเบกิสถาน และย้ายไปอยู่กับโมฌีมีริง สโมสรของตนเองที่บราซิล บ้านเกิด ก่อนที่จะประกาศการยุติการเล่นฟุตบอลไปเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2014

Luiz figo.jpg

Luiz Figo

2005

เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1972 เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวโปรตุเกส เขาเล่นในตำแหน่งกองกลางให้กับสโมสรสปอร์ติงลิสบอน บาร์เซโลนา เรอัลมาดริดและอินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน กับอาชีพนักฟุตบอล 20 ปี เขาหยุดการเล่นฟุตบอลอาชีพเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2009 เขาลงแข่งในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส 127 นัด

ฟีกูได้รับรางวัลนักฟุตบอลยุโรปแห่งปี 2000 รางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของฟีฟ่าปี 2001 และติดอยู่ในรายชื่อฟีฟ่า 100

ฟีกูเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลไม่กี่คนที่เล่นให้กับทั้ง 2 สโมสรของสเปนที่เป็นคู่แข่งกัน คือ บาร์เซโลนาและเรอัลมาดริด เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ได้รับถ้วยต่าง ๆ เช่น ถ้วยโปรตุเกส, 4 ถ้วยลาลิกา, 2 ถ้วย โกปาเดลเรย์, 3 ถ้วยซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา, 1 ถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, 1 ถ้วยยูฟ่าคัปวินเนอส์คัป, 2 ถ้วยยูฟ่าซูเปอร์คัป, 1 ถ้วยฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก, 4 ถ้วยเซเรียอา, 1 ถ้วยอิตาลี และ 3 ถ้วยซูเปอร์คัปอิตาลี

Ro.jpg

Ronaldo Nazario R9

2005

โรนัลดู ลูอีส นาซารีอู จี ลีมา (โปรตุเกส: Ronaldo Luíz Nazário de Lima; เกิดวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2519) เป็นนักฟุตบอลชาวบราซิลที่เป็นที่รู้จักในฉายา O Fenômeno (ปรากฏการณ์)[4] และชื่อเล่น R9[4] ปัจจุบันเลิกอาชีพค้าแข้งแล้ว ในปี ค.ศ. 1993 โรนัลโดเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรกรูเซย์รู ในฤดูกาลแรกนั้น เขาทำได้ถึง 12 ประตูใน 14 เกม โดยโรนัลโดมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นก็ถูกแมวมองจากสโมสรยักษ์ใหญ่ แปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟินจากเนเธอร์แลนด์ดึงไปร่วมเล่น นอกจากนี้ โรนัลโดก็ยังได้ร่วมทางกับสโมสรใหญ่ในยุโรปมากมาย อาทิ บาร์เซโลนา อินแตร์นาซีโอนาเลมีลาโน (อินเตอร์มิลาน) เรอัลมาดริด และเอซีมิลาน

ในส่วนของทีมชาตินั้น โรนัลโดลงเล่นให้กับทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ 97 นัด และทำประตูได้ถึง 62 ประตู โดยเป็นรองเพียงเปเล่และโรมารีอูเท่านั้น และยังเป็นเจ้าของสติถิ 15 ประตู ผู้ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของโลกในฟุตบอลโลกอีกด้วย เขาพาทีมชาติบราซิลได้แชมป์ฟุตบอลโลก 2 สมัยในปี ค.ศ. 1994 และ ค.ศ. 2002 แต่ต่อมาก็ถูกแย่งสถิติโดยมีโรสลัฟ โคลเซอในฟุตบอลโลกปี ค.ศ. 2014

ฉายาของโรนัลโดคือ O Fenômeno ("The Phenomenon" ในภาษาอังกฤษ) โรนัลโดเป็นหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากมาย อาทิ รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป 2 สมัย ในปี ค.ศ. 1997 และ ค.ศ. 2002 รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลกโดยฟีฟ่า 3 สมัย ซึ่งมีเพียงโรนัลโดและซีเนดีน ซีดานเท่านั้นที่เคยทำได้ ในปี ค.ศ. 2007 เขาถูกจัดให้เป็นหนึ่งในนักฟุตบอล 100 คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลโดยนิตยสารฟุตบอลฝรั่งเศส และเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลยอดเยี่ยมที่สุดของโลกที่ยังมีชีวิตอยู่โดยเปเล่

MI.jpg

Micheal Owen

2005

ไมเคิล โอเวน เป็นกองหน้าที่มีชื่อเสียงและเป็นกำลังหลักของลิเวอร์พูลในระหว่างปีที่เล่นให้กับลิเวอร์พูล (ค.ศ. 1996 - ค.ศ. 2004) เป็นผู้เล่นที่มีความโดดเด่นมาก เนื่องจากเป็นผู้เล่นที่อายุยังน้อย มีความว่องไว ยิงประตูได้คมกริบ อีกทั้งยังมีหน้าตาดี โดยมักจะถูกเปรียบเทียบกับ เดวิด เบคแคม ผู้เล่นกองกลาง กัปตันทีมชาติอังกฤษเช่นกัน จนได้รับฉายาจากแฟนฟุตบอลชาวไทยว่า "ไอ้หนูมหัศจรรย์" (Baby Goal)

ปี ค.ศ. 2001 ไมเคิล โอเวน ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป หรือ บัลลงดอร์ (Ballon d'Or) ต่อมา ในเอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ โอเวน ช่วยทำ 2 ประตู ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ อาร์เซนอล 2-1 และพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพ ไปครอง รวมถึง แชมป์ลีกคัพ และ แชมป์ยูฟ่าคัพ ในปีเดียวกันอีกด้วย[2]

ปี ค.ศ. 2003 ไมเคิล โอเวน พา ลิเวอร์พูล เข้ารอบชิงชนะเลิศ ลีกคัพ เจอกับ คู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดย สตีเวน เจอร์ราร์ด ยิงให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1-0 ในครึ่งแรก แล้วในครึ่งหลัง ไมเคิล โอเวน ก็ยิงประตูปิดท้ายเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-0 และพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 7 มาครองได้สำเร็จ รวมถึง ไมเคิล โอเวน ทำแฮตทริก โดยยิง 4 ประตูให้ ลิเวอร์พูล ถล่ม เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 6-0

ปี ค.ศ. 2004 ไมเคิล โอเวน ได้สร้างความประหลาดใจแก่แฟนบอลและสร้างความเสียใจให้แก่แฟนลิเวอร์พูล โดยได้ย้ายไปอยู่กับ เรอัลมาดริด ในสเปน แต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าสมัยอยู่กับลิเวอร์พูล

ปี ค.ศ. 2005 ไมเคิล โอเวน ได้ย้ายกลับมาอังกฤษอีกครั้ง โดยได้ย้ายไปอยู่กับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด แต่ก็ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่เป็นระยะ ทำให้ไม่สามารถลงเล่นได้มากนัก เมื่อหมดสัญญากับสโมสรนิวคาสเซิลแล้ว ในปี 2009 ไมเคิล โอเวน ก็ได้ตัดสินใจย้ายทีมที่สร้างความประหลาดใจให้เหล่าแฟนบอลลิเวอร์พูลด้วยการย้ายไปโดยไม่มีค่าตัวเพื่อเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

P.jpg

Pavel Nedved

2005

เกิดวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1972) เป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวเช็กเกียที่เคยเล่นในตำแหน่งกองกลาง และเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลชาวเช็กเกียที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด[1] เขาคว้าแชมป์ระดับประเทศและทวีปกับลาซีโอ ซึ่งชนะเลิศวินเนอร์สคัพสมัยสุดท้าย ส่วนในการเล่นกับยูเวนตุส เขาพาทีมเข้ารอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2003

เนดเวตเป็นผู้เล่นที่สำคัญคนหนึ่งของทีมชาติเช็กเกีย เขาเคยพาทีมชาติเข้าชิงชนะเลิศในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996 และได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 ที่เช็กเกียตกรอบรองชนะเลิศด้วยการแพ้กรีซ แต่เนดเวตก็ติดทีมยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน หลังจากนั้น เขาพาทีมชาติผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2006 นับเป็นครั้งแรกหลังจากที่เชโกสโลวาเกียแยกประเทศ ในการแข่งขัน เนดเวตมีการเล่นที่ว่องไวและกระปรี้กระเปร่า จนได้รับฉายาว่า "Furia Ceca" ("Czech Fury") โดยแฟนชาวอิตาลี และฉายา "ปืนใหญ่แห่งเช็ก" โดยสื่อภาษาอังกฤษ ส่วนฉายาท้องถิ่นคือ Méďa[2] ("หมีน้อย") เนื่องจากนามสกุลของเขาคล้ายคำว่า Medvěd ที่แปลว่าหมีในภาษาเช็ก

เนดเวตได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปในปี ค.ศ. 2003 โดยเขาเป็นชาวเช็กคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ แต่เป็นครั้งแรกหลังจากการแยกประเทศของเชโกสโลวาเกีย ในช่วงการค้าแข้งของเขา เขาได้รางวัลส่วนตัวหลายรางวัล รวมไปถึงรางวัลเท้าทองคำสมัยที่สองในปี ค.ศ. 2004, นักฟุตบอลชาวเช็กยอดเยี่ยมแห่งปี (สี่สมัย) และลูกบอลทองคำ (หกสมัย) เขามีชื่อติดฟีฟ่า 100 โดยเปเล่ และติดทีมแห่งปีของยูฟ่าในปี ค.ศ. 2003, 2004 และ 2005 เขาเกษียณอาชีพหลังจบฤดูกาล 2008–09 สิ้นสุดการค้าแข้ง 19 ปี เขาลงเล่นเกมลีก 501 นัด (ยิงได้ 110 ประตู) และลงเล่นให้กับทีมชาติ 91 นัด (ยิงได้ 18 ประตู)

S.webp

Andriy shevchenko

2005

เกิดวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) ที่หมู่บ้านดวีร์กิวช์ชือนา สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันอยู่ในแคว้นเคียฟ ประเทศยูเครน) แชวแชนกอเคยเป็นนักฟุตบอลชาวยูเครนผู้เล่นตำแหน่งดาวยิง อดีตเคยเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลดือนามอกือยิว และเคยเล่นให้กับฟุตบอลทีมชาติยูเครน

ในช่วงวัยเด็กได้เริ่มให้กับดือนามอกือยิว ทีมในประเทศยูเครน แชวแชนกอได้นำทีมชนะเลิศ 5 ครั้งในยูเครนพรีเมียร์ลีกและชนะถ้วยยูเครน 2 ครั้ง ในช่วงปี ค.ศ. 1994–1999 และได้ย้ายมาเล่นให้กับทีมเอซีมิลานในประเทศอิตาลี โดยนำทีมชนะเซเรียอา 1 ครั้ง ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1 ครั้ง ยูโรเปียนซูเปอร์คัพ 1 ครั้ง อิตาเลียนคัพ 1 ครั้ง และอิตาเลียนซูเปอร์คัพ 1 ครั้ง ในช่วง ค.ศ. 1999–2006

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2004 แชวแชนกอได้ชื่อเป็นนักฟุตบอลยุโรปประจำปี และนอกจากนี้ยังได้ชื่อเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยม 125 คนจากเปเล่ และในปีเดียวกันเดือนมีนาคม แชวแชนกอได้รับรางวัลวีรบุรุษของยูเครนจากแลออนิด กุชมา อดีตประธานาธิบดียูเครน

Ron.jpg

Ronaldinho

2005

รอนัลดีนโย ลงสนามนัดแรกในเกมทางการของตนเองกับสโมสรเกรมีอู ในประเทศบราซิล ในปี 1998 ต่อมา ในปี 2001 เขาย้ายไปร่วมทีมปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง[5] ก่อนจะย้ายร่วมทีมบาร์เซโลนา ในปี 2003 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ในอาชีพของเขา ในฤดูกาลที่สองของเขากับบาร์เซโลนา เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่าเป็นสมัยแรก โดยบาร์เซโลนาชนะเลิศการแข่งขัน ลาลิกา ในปีนั้น ต่อมาในฤดูกาล 2005-06 ถือเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของรอนัลดีนโยอย่างแท้จริง[6] โดยเขาสามารถพาทีมชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีของสโมสร และยังป้องกันแชมป์ ลาลิกา เอาไว้ได้ ส่งผลให้เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีเป็นครั้งที่สอง รวมถึงรางวัลบาลงดอร์ในปีนั้น และภายหลังจากทำประตูอันงดงามได้ในนัดที่พบกับ เรอัลมาดริด ในปีนั้น ทำให้เขาเป็นผู้เล่นบาร์เซโลนาคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเสียงปรบมือยกย่องจากแฟนฟุตบอลของเรอัลมาดริด ณ สนามกีฬาซานเตียโก เบร์นาเบว[7][8][9] ต่อจาก ดิเอโก มาราโดนา

ต่อมา ในฤดูกาล 2006-07 บาร์เซโลนาทำได้เพียงคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศ ลาลิกา และรอนัลดีนโยยังมีอาการบาดเจ็บรบกวนจนถึงฤดูกาล 2007-08 ทำให้เขาตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม เอซี มิลาน[10] ก่อนจะคว้าแชมป์ลีกได้ในปี 2011 และได้กลับไปเล่นอาชีพที่ประเทศบราซิลร่วมกับสโมสร ฟลาเม็งกู และ สโมสรมิไนโร่ ตามด้วยการย้ายไปร่วมทีม เกเรตาโร่ ในเม็กซิโก ก่อนจะกลับมาปิดท้ายการเล่นอาชีพกับสโมสร ฟลูมิเนนเซ่ ในบราซิลในปี 2005 นอกเหนือจากรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของฟีฟ่า และรางวัลบาลงดอร์ รอนัลดีนโยยังได้รับรางวัลสำคัญอีกมากมาย อาทิ การติดหนึ่งในผู้เล่นทีมยอดเยี่ยมของ สหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป, รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำทวีปอเมริกาใต้ และในปี 2004 เขาได้รับการจัดอันดับโดย เปเล่ ตำนานรุ่นพี่ทีมชาติบราซิลให้มีชื่ออยู่ใน 1 ใน 100 นักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่

bottom of page