bollon dor football player
Fabio Cannavaro
2006
เกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1973 ที่เมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี เป็นนักฟุตบอลชาวอิตาลีเคยชนะเลิศฟุตบอลโลก และเล่นในเซเรียอาให้กับ สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส[1] เขายังได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปหรือ บาลงดอร์ ในปี 2006 โดยเขาเป็นนักเตะกองหลังเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้ เช่นเดียวกับการเป็นนักเตะที่อายุมากที่สุดที่ได้รับรางวัลนี้ และเขายังเป็นนักเตะที่ลงแข่งมากที่สุดตลอดกาลของทีมชาติอิตาลี โดยลงแข่งไปทั้งสิ้น 131 นัด ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม เฮดโค้ช ของทีม กว่างโจวเอเวอร์แกรนด์ทีมยักษ์ใหญ่ที่สุดในเอเชียและของไชนิส ซุปเปอร์ลีก นอกจากนี้ยังเคยคุมทีมชาติจีนรวมทั้งสิ้นเพียง 2 นัด
Ricardo Kaka
2007
กาก้าเกิดเมื่อ 22 เมษายน ค.ศ. 1982 ในกรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล ชื่อเล่น "กาก้า" นั่นคือชื่อเล่นในภาษาโปรตุเกส ซึ่งเป็นชื่อที่ดีเกา น้องชายของเขาเรียกในตอนเด็ก เพราะตอนนั้นดีเกาเองออกเสียงชื่อรีการ์ดูไม่ชัด คนบราซิลเรียกชื่อจริงว่ารีการ์ดู ส่วนสำหรับชาวบราซิลแล้ว กาก้าเป็นอีกภาพลักษณ์ตัวแทนของชาวแซมบ้าและทีมลาเซเลเซา เนื่องจากเกิดและโตในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะแตกต่างจากนักเตะคนอื่น ๆ ในทีม แต่ความแตกต่างทางฐานะก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใดเนื่องจากกาก้าเองก็มีความรักในนักฟุตบอลอาชีพ และทุ่มเทเพื่อความฝันไม่น้อย
กาก้าสามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่วงการฟุตบอลกัลโช เซเรีย อาด้วยการเป็นดาวดวงใหม่ที่โผล่ขึ้นมาจรัสแสงได้อย่างไม่น่าเชื่อด้วยลีลาการเล่นที่สุดมหัศจรรย์ และยังมีหน้าตาที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตรซึ่งจบฤดูกาลแรกกาก้ากลายเป็นผู้เล่นสำคัญที่พาสโมสรฟุตบอลเอซีมิลานคว้าได้ทั้งสกูเดตโต หรือแชมป์กัลโชเซเรียอา และถ้วยใหญ่อย่างยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพพร้อมผลงาน 10 ประตูจากการเล่น 30 นัดในลีกกัลโชเซเรียอา
Cristiano Ronaldo CR7
2008
โรนัลโดได้ย้ายมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ ในฤดูกาล 2003–04 และเป็นนักเตะดาวรุ่งที่มีค่าตัวสูงที่สุดในขณะนั้น เขาไดรับการยกย่องให้เป็นผู้เล่นดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในขณะนั้น รวมทั้งเป็นนักเตะโปรตุเกสคนแรกของสโมสร เขาได้รับเสื้อหมายเลข 7 ทันทีในฤดูกาลแรกซึ่งเป็นหมายเลขของตำนานสโมสรหลายคน อาทิ จอร์จ เบสต์ เอริก ก็องโตนา และ เดวิด เบคแคมโรนัลโดลงสนามนัดแรกในเกมพรีเมียร์ลีกที่พบกับโบลตันวอนเดอเรอส์ โดยเขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนนิกกี บัตต์ ซึ่งยูไนเต็ดชนะ 4–0 ก่อนจะทำประตูแรกได้จากลูกฟรีคิกในนัดที่ทีมชนะพอร์ตสมัท 3–0 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2003 เขาใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ลีก และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพกับมิลล์วอลล์ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ได้จากการชนะ 3–0 ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีเซอร์แมตต์ บัสบี ประจำฤดูกาล และได้รับการยกย่องจากแกรี เนวิลว่าจะเป็นผู้เล่นระดับโลกในอนาคตอันใกล้
Lionel Messi
2009
ระหว่างฤดูกาล 2003–04 ซึ่งเป็นปีที่สี่ของเขากับบาร์เซโลนา เมสซิสามารถเลื่อนระดับจากทีมเยาวชนไปตามลำดับของสโมสรอย่างรวดเร็ว และสร้างสถิติเล่นให้ทีมในระดับต่าง ๆ ของบาร์เซโลนาถึง 5 ทีมในฤดูกาลเดียว หลังจากได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรใน 4 ประเทศกับทีมเยาวชนรุ่นอายุ 16–18 ปี ทีม B (Juveniles B) เขาลงเล่นในการแข่งขันอย่างเป็นทางการ 1 นัด ก่อนจะได้รับการเลื่อนชั้นไปเล่นในทีมเยาวชนรุ่นอายุ 16–18 ปี ทีม A (Juveniles A) ซึ่งเขาทำประตูได้ 18 ประตูจาก 11 เกมลีก เมสซิเป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชนหลายคนที่ถูกเรียกไปเสริมทีมชุดใหญ่เมื่อมีการแข่งขันทีมชาติ ลูโดวิก ชูลี ผู้เล่นตำแหน่งปีกชาวฝรั่งเศส ได้เคยบอกถึงการที่เมสซิเป็นที่จับตามองอย่างมากในระหว่างซ้อมกับทีมชุดใหญ่ ความว่า "เขาเล่นงานพวกเราทั้งหมด หลายคนต้องตามเตะเขาเพื่อไม่ให้ได้รับความอับอายจากเด็กคนนี้ แต่เขาก็แค่ลุกขึ้นและเล่นต่อไป เขาลากเลื้อยผ่านนักเตะ 4 คนและยิงประตู แม้แต่เซ็นเตอร์แบคตัวจริงของทีมตอนนั้นยังกลัวเขา เขาเป็นมนุษย์ต่างดาวชัด ๆ
Lionel Messi
2010
เมสซิ ลงแข่งอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 ขณะที่อายุได้ 16 ปี 145 วัน ในนาทีที่ 75 ของนัดกระชับมิตรกับสโมสรปอร์ตูภายใต้การคุมทีมของโชเซ มูรีนโยเขาสามารถสร้างโอกาสได้ 2 ครั้งและยิงประตูเข้ากรอบ 1 ครั้ง ซึ่งนั่นสร้างความประทับใจให้ทีมงานเทคนิคเป็นอย่างมาก และต่อมาเขาเริ่มฝึกซ้อมกับทีมสำรองของบาร์เซโลนา (บาร์เซโลนา เบ) นอกจากนี้ยังได้ร่วมฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่รายสัปดาห์อีกด้วย หลังจากที่เขาได้เข้าร่วมฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ร่วมกับนักเตะระดับดาราชุดใหญ่อย่างรอนัลดีนโย รอนัลดีนโยได้บอกกับเพื่อนร่วมทีมว่าเขาเชื่อว่าเด็กอายุ 16 ปีคนนี้จะกลายเป็นนักเตะที่ดีกว่าเขาแน่นอนต่อมารอนัลดีนโยกลายเป็นผู้เล่นที่มความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเมสซิ โดยเรียกเขาว่า "น้องชาย" ซึ่งช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นมากในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ทีมชุดใหญ่
Lionel Messi
2011
เมสซิเข้าร่วมทีมสำรองทีม C (บาร์เซโลนา เซ) เพิ่มเติมจากการลงเล่นให้กับทีมเยาวชนทีม A เพื่อให้มีประสบการณ์แข่งขันที่มากขึ้น เขาลงเล่นให้กับทีมสำรองทีม C ครั้งแรกในวันที่ 29 พฤศจิกายน เขามีส่วนช่วยให้ทีมรอดจากการตกชั้นสู่ลีกระดับ 3 ของสเปน (Tercera División) โดยทำประตูได้ 5 ประตูจากการลงเล่น 10 นัด ซึ่งรวมถึงการทำแฮตทริกภายในระยะเวลา 8 นาทีในการแข่งขันโกปาเดลเรย์ ทั้งที่ถูกประกบโดยเซร์ฆิโอ ราโมส จากเซบิยา[31][39] พัฒนาการของเขาสะท้อนให้เห็นจากสัญญาอาชีพฉบับแรกของเขา ซึ่งลงนามในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 และมีกำหนดสิ้นสุดถึง ค.ศ. 2012 สัญญาฉบับนี้ระบุมูลค่าการยกเลิกสัญญา (buyout clause) สูงถึง 30 ล้านยูโร หนึ่งเดือนถัดมา ในวันที่ 6 มีนาคม เขาได้ลงเล่นให้กับบาร์เซโลนา เบ ในการแข่งขันเซกุนดาดิบิซิออน เบ และทำให้มูลค่าการยกเลิกสัญญาเพิ่มขึ้นอัตโนมัติเป็น 80 ล้านยูโร[31][40] เขาลงเล่นกับบาร์เซโลนา เบ จำนวน 5 นัดแต่ไม่สามารถทำประตูได้
Lionel Messi
2011
ระหว่างฤดูกาล 2004–05 เมสซิได้รับตำแหน่งผู้เล่นตัวจริงของบาร์เซโลนา เบ ลงเล่นทั้งหมด 17 นัด และทำได้ 6 ประตูหลังจากที่เขาได้ลงเล่นครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เขาไม่ได้รับการเรียกตัวเข้าร่วมกับทีมชุดใหญ่อีก ทว่าในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 ผู้เล่นชุดใหญ่ได้เรียกร้องให้ฟรังก์ ไรการ์ด ผู้จัดการทีมในขณะนั้นเลื่อนเขามาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ ขณะนั้นรอนัลดีนโยลงเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย ไรการ์ดจึงย้ายให้เมสซิไปเล่นฝั่งซ้าย (แม้ว่าระยะแรกจะตรงกันข้ามกับความปรารถนาของเมสซิ) เพื่อให้เขาสามารถตัดเขhากลางและยิงประตูด้วยเท้าซ้ายข้างถนัดของเขา เมสซิได้ลงเล่นเกมลีกเป็นนัดแรกในนาทีที่ 82 นัดที่พบกับอัสปัญญ็อลเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุเพียง 17 ปี 3 เดือน 22 วัน ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้นที่ลงเล่นให้กับบาร์เซโลนาในการแข่งขันอย่างเป็นทางการเขามีบทบาทเป็นตัวสำรองในทีมชุดใหญ่ ได้ลงเล่น 9 นัด คิดเป็นเวลารวม 77 นาที ในฤดูกาลแรกของเขากับทีมชุดใหญ่ ซึ่งรวมถึงการได้ลงเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดที่พบกับชัคตาร์ดอแนตสก์ เขาทำประตูให้กับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 นัดที่พบกับอัลบาเซเตบาลอมเปียจากการจ่ายบอลให้ของรอนัลดีนโย ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้นที่ทำประตูให้กับสโมสรได้ในฤดูกาลที่ 2 ภายใต้การคุมทีมของไรการ์ด บาร์เซโลนาชนะเลิศการแข่งขันลาลิกาเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี
Lionel Messi
2012
ภายหลังประกาศอำลาปารีแซ็ง-แฌร์แม็งเมื่อจบฤดูกาล เมสซิตกเป็นข่าวในการกลับไปร่วมทีมเก่าอย่างบาร์เซโลนา เช่นเดียวกับมีกระแสข่าวว่าเจ้าตัวอาจย้ายไปเล่นในซาอุดีโปรเฟสชันนัลลีก แต่ท้ายที่สุดเมสซิตัดสินใจเซ็นสัญญากับอินเตอร์ไมแอมีในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ โดยบาร์เซโลนาไม่สามารถเซ็นสัญญากับเมสซิได้เนื่องจากปัญหาด้านการเงิน
ในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2023 อินเตอร์ไมแอมีได้ปล่อยคลิปวิดีโอการเซ็นสัญญากับเมสซิลงในสื่อสังคมออนไลน์ของสโมสร และในวันเดียวกันนั้น เมสซิได้ประกาศการย้ายร่วมทีมผ่านการให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นอย่างมุนโด เดปอร์ติโบเขาเปิดเผยถึงสาเหตุที่ทำให้การเซ็นสัญญากลับไปร่วมทีมบาร์เซโลนาต้องยุติลง เนื่องจากไม่ต้องการเป็นต้นเหตุให้สโมสรต้องประสบปัญหาการเงินด้วยการลดค่าเหนื่อยผู้เล่นในทีม รวมถึงขายผู้เล่นบางรายเมสซิยังกล่าวว่ามีหลายสโมสรในยุโรปต้องการเซ็นสัญญากับเขา แต่บาร์เซโลนาจะเป็นสโมสรเดียวในยุโรปที่เขาต้องการลงเล่นด้วย เมสซิเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 2023
Cristiano Ronaldo CR7
2013
ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2009 โรนัลโดได้เปิดตัวกับสโมสร และเขาได้รับเสื้อหมายเลข 9 โดยในฤดูกาลแรกนี้ โรนัลโดทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยได้ลงเล่นเป็นตังจริงทั้งหมด 35 นัด ทำประตูไปได้ 33 ประตู และครองดาวซัลโวสูงสุดของลาลิกา โดยโรนัลโดได้เล่นในตำแหน่งกองหน้า และบางครั้งก็สลับไปยืนในตำแหน่งปีกขวา โรนัลโดทำประตูแรกในนัดที่พบกับ เดปอร์ติโบเดลาโกรุญญา โดยเรอัลมาดริดชนะไป 3–2 ต่อมาโรนัลโดทำสถิติเป็นผู้เล่นคนแรกของสโมสรที่ทำประตูในการแข่งขัน 4 นัดแรกในบ้านได้ในฤดูกาลแรกที่อยู่กับทีม
โรนัลโดทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกกับเรอัลมาดริดได้จากการยิงฟรีคิกในนัดที่ทีมเอาชนะซือริชไป 2–0 สำหรับผลงานในฤดูกาลแรก แม้เรอัลมาดริดจะไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลรายการใดได้ในปีนี้ แต่โรนัลโดก็ทำประตูในลีกไปได้ 26 ประตูจากจำนวน 29 นัด และทำแฮตทริกในลาลิกาได้เป็นครั้งแรกในนัดที่ทีมเอาชนะ เอร์เรเซเด มายอร์กา 4–1 ในเดือนพฤษภาคม 2010